แฟรงค์ แลมพาร์ด ประตูที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของความยิ่งใหญ่

แฟรงค์ แลมพาร์ด ประตูที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของความยิ่งใหญ่ วันที่เขายิงประตูช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรก 


แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือของเราย้อนรำลึกไปถึงวันที่ 30 เมษายน 2005 พูดคุยถึงเรื่องที่น่าสนใจก่อนแข่งเกมนั้น, ความรู้สึกเมื่อยิงเหมาสองประตูในเกมเจอโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส และแน่นอน การฉลองที่ตามมาหลังเกมนั้น และนี่คือสิ่งที่เขาเล่ามาทั้งหมด...

ก่อนเกมเริ่ม ความกดดันเป็นอย่างไรบ้าง? หลังจากที่ก่อนหน้านั้นทุกอย่างราบรื่นมาก ทั้งการไม่แพ้อาร์เซนอลและมาชนะฟูแล่มได้อีก ความรู้สึกในตอนนั้นคิดไหมว่าถ้าเราไม่ชนะโบลตัน เราก็คว้าแชมป์จากชัยชนะเกมหนึ่งในสามนัดต่อไปได้อีกอยู่ดี?

เรารู้เรื่องนั้นดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีความตื่นเต้นที่มันจะเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 50 ปี ทำให้เรามีแรงผลักดันเพิ่มขึ้น อีกอย่างคือเรามีเกมพบลิเวอร์พูลในแชมป์เปี้ยนส์ ลีกอยู่หลังจากนั้นด้วย เราอยากจะปิดฉากให้เร็วที่สุด เราลงสนามไปแล้วทำเหมือนกับว่ามันเป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาล ช่วงครึ่งแรกเราอาจจะเล่นได้ไม่เหมือนแบบนั้น แต่ในใจเราเป็นอย่างนั้นเลย

การพูดคุยก่อนเกมนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะทุกคนรู้ว่าวันนั้นอาจจะเป็นวันที่เราจบการรอคอยแชมป์นานถึง 50 ปีลง และหนึ่งในทีมอาจเป็นผู้ทำประตูตัดสินแชมป์ได้ด้วย?

เอาจริงๆ ผมจำไม่ได้เลยนะว่าคุยอะไรกันบ้างก่อนเกมนั้น เศร้านะที่เราเริ่มลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว! ผมจำได้ว่าเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรมากนัก เราเป็นทีมที่แข็งแกร่ง แต่ในช่วงเวลานั้นยังเป็นช่วงแรกๆ ที่ทีมเราอยู่ด้วยกัน แต่เรารู้ว่ามันมีความหมายมากแค่ไหนหากเราคว้าแชมป์ได้ เรารู้ว่าเรากำลังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่

เรามีผู้ที่พูดก่อนเกมได้ดีหลายคน ไม่ว่าจะเป็นจอห์น, ดิดิเยร์, ผมเอง และกลุ่มผู้ที่เป็นแกนหลักในทีมของเราปกติจะพูดกันอยู่แล้ว เราต้องมีการปลุกใจกันหน่อยเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดีในเกมนั้น

จากฟอร์มการทำประตูของคุณในตอนนั้น คุณคาดคิดมาก่อนไหมว่าคุณจะเป็นผู้ทำประตูที่สร้างความแตกต่างได้?

ผมมั่นใจนะ เพราะผมกำลังอยู่ในฟอร์มที่ดี ช่วงต้นฤดูกาลอาจจะไม่ได้ทำประตูมากนัก แต่ทุกอย่างเริ่มลงตัวในช่วงก่อนคริสต์มาสและผมก็ทำได้ดีมาตลอด ผมไม่ได้คิดว่าผมจะเป็นคนยิงให้ทีมชนะหรอกนะครับ แต่ผมเตรียมตัวก่อนเกมมาดีเสมอ ถ้าผมเล่นในเกมได้ดี ประตูมันก็จะตามมาเอง

ประตูเหล่านั้นมักจะเป็นเรื่องของหัวหอกมากกว่า แต่ผมทำประตูได้เยอะมากในปีนั้น เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมยิงประตูได้มากกว่า 20 ประตูในฤดูกาลเดียว แต่ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเหมาสองประตูในเกมเจอโบลตันเลย  

ช่วงครึ่งแรกไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้นมากนัก บอลไปอยู่กลางอากาศเสียส่วนใหญ่ พักครึ่งเป็นอย่างไรกันบ้างครับ คุณจำได้ไหมว่าโชเซ่พูดอะไรบ้าง?

เป็นช่วงครึ่งแรกที่ประหลาดหน่อยนะ เพราะโบลตันพังเกมเราหมดเลย ทำให้เราเล่นได้ยากขึ้นมาก เราเสียโมเมนตั้มไปเมื่อคู่แข่งพยายามทำเกมเข้าใส่แบบโบลตันในเกมนั้น บางครั้งสิ่งที่คุณเตรียมไว้ก่อนเกมมันอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้ ช่วงพักครึ่งเราคิดว่าเราเสียโอกาสในช่วง 45 นาทีแรกไปหมดเลย

เราคุยกันเรื่องการคว้าแชมป์มาตั้งแต่ก่อนเกม แต่ช่วงพักครึ่งเราต้องมาติดเครื่องกันใหม่อีกรอบ เอาล่ะ เรามีอีก 45 นาทีให้ไปลุยกันต่อ แล้วเราก็เติมเต็มพลังใจกันได้ในที่สุด

ประตูแรกในเกมนั้นคือการเล่นประสานระหว่างแลมพาร์ด-ดร็อกบาในยุคแรกๆ เลย

เราใช้เวลาพัฒนากันมานาน แต่ผมรู้สึกได้ว่าเข้าขากับดิดิเยร์มาตั้งแต่แรก เพราะเขาไม่เห็นแก่ตัวเลย มีความสามารถสุดๆ เขาไม่ได้แค่ทำประตูได้เยอะนะ เขายังทำแอสซิสต์ให้ผมได้หลายครั้งด้วย มันทำให้เราสามารถวิ่งได้อย่างมั่นใจว่าเขาจะหาช่องสร้างโอกาสให้กันได้

เมื่อผมย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้น ผมรู้ว่าผมโชคดีมากแค่ไหนทีได้เล่นร่วมกับนักเตะเหล่านั้น เขาจ่ายบอลมาให้ ทันทีที่ผมได้บอลผมก็คิดเลยว่าจะทำอย่างไรให้บอลมาที่เท้าขวาแล้วยิงไปให้เร็วที่สุด

ตอนนั้นหัวโล่งเลยหรือเปล่า?

มันเหมือนเป็นภาพสโลว์ในหัว ผมพยายามทำทุกอย่างให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผมเคยใช้เรื่องนี้หยอกล้อกับทาล เบน-ฮาอิมหลังจากที่ย้ายมาเชลซีว่าผมผ่านเขาไปได้อย่างไร ผมพยายามมีสมาธิให้มากที่สุดเวลาที่เข้าไปในกรอบ ผมต้องจับบอลให้ดีเพื่อสร้างโอกาสยิงประตู


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมียซิลวา ของขึ้นแขวะ โรเบิร์ตสัน กระทบลิเวอร์พูล

อินเตอร์ มิลาน เปิดบ้านพบ โครโตเน่

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ปลื้ม เลสเตอร์เล่นเก๋าเกมดับเชลซี